ประเทศไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่เรานึกถึงอยู่ตลอดๆ มันมักจะเป็นหัวข้อให้พูดถึงในวงสนทนาระหว่างๆ เพื่อนๆ ทุกๆครั้งเวลาเราเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ไหนที่สวยๆ ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีภูมิประเทศที่งดงามที่สุดในโลกจากที่ๆ เราไปมาในความเห็นของเรานะ และจากที่เราได้รู้ความจริงมาว่าประเทศสุดเจ๋งนี้เกิดจากการดันตัวของแผ่นดินและผุดขึ้นมาจากแนวภูเขาไฟใต้น้ำระหว่างทวีปยุโรปและอเมริกา มันก็ 2 ปีแล้วนะเราไปเที่ยวที่นี่ตั้งแต่ปี 2016 ถึงแม่ว่าช่วงที่เราไปนั้นจะไม่ใช่ช่วงเวลาการท่องเที่ยวที่ดีที่สุด เราก็ยังคงคิดถึงที่แห่งนี้และถ้ามีโอกาสก็จะไปอีกแน่นอน
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์มากด้วยธรรมชาติที่น่าทึ่งและชวนให้ประหลาดใจ โดยภูมิประเทศที่เห็นได้มุมกว้าง 360 องศา สมบูรณ์แบบและทอดยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด บางคนพูดว่าเป็นประเทศแห่งน้ำแข็งและดินแดนแห่งไฟ ซึ่งมันจริงเลยแหละ จุดมุ่งหมายของการเดินทางมาเที่ยวที่นี่ของเราก็เพื่อที่จะรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้นแล้วก็หวังว่าจะได้เห็นแสงเหนือด้วยตาเราซักที แต่เราไม่รู้หรอกว่าทำไมมันหายากนักหนา ทำไมคนถึงพูดว่าล่าแสงเหนือ แล้วก็อยากจะมาดูแสงเหนือกันด้วยตาตัวเอง
มีสถานที่ดีดี สวยๆอีกหลายที่ รอให้เราไปค้นหาเลยเหมือนกับว่าเที่ยวรอบๆ โกลเด้นเซอร์เคิล (golden circle) ที่แพลนไว้ตอนแรกอาจจะยังไม่พอสำหรับความอยากรู้อยากเห็นของพวกเราเสียแล้ว และเราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ จะเลยตัดสินใจกันว่าจะเที่ยวตามริงโรด (ring road) แบบทวนเข็มนาฬิกาเป็นเวลา 14 วัน แพลนการท่องเที่ยวของพวกเรานี้ค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว จองโรงแรม หรือตั๋วต่างๆ ไว้ล่วงหน้าเผื่อโรงแรมบางทีอาจจะเต็ม แค่ล่วงหน้าเท่านี้ก็หาราคาดีดียากแล้ว แล้วก็พยายามที่จะแวะบริเวณที่แนะนำว่าเป็นจุดที่สวยๆ ทำให้เราใช้เวลากับแต่ละจุดได้น้อยไปหน่อย บางที่เราก็ไม่ได้ไปตามแผนบ้าง เพราะว่ามีพายุหิมะในบางวัน อากาศไม่เป็นใจ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผน รวมถึงต้องยกเลิกโรงแรมที่จองไว้กะทันหัน แต่ก็นั่นแหละมันเป็นรสชาติของการเดินทาง ก่อนไปเราวางแผนการเดินทางหาข้อมูลเป็นเดือน แต่อยากจะฝากไว้ว่าไม่ควรจะตั้งความหวังว่าทุกอย่างจะเป็นตามแผนหรือตามสิ่งที่เราคาดคิดไปซะหมด แต่สนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อย่ากังวลมากไปจนเราลืมว่าวิวข้างหน้าสวยแค่ไหน การเดินทางประสบการณ์ในครั้งนี้มันดีแค่ไหน เราแปะแผนการท่องเที่ยวของเราไว้ โหลดไปใช้ได้ ที่นี่เลย
ควรจะไปเที่ยวช่วงไหนดีล่ะ ?
บางคนก็ว่าควรไปเที่ยวในช่วงหน้าหนาวปลายๆ ปีหรือในสองสามเดือนแรกต้นๆ ปี เพื่อที่จะมีโอกาสได้เจอแสงเหนือมากขึ้นและก็ชัดขึ้นเพราะช่วงหน้าร้อนเวลากลางวันจะยาวกว่ากลางคืน แต่สำหรับเราแล้วเนี่ย ที่นี่ก็เที่ยวได้ตลอดทั้งปีนั่นแหละ หน้าร้อนของที่นี่ก็จะทำให้เราเห็นภูมิประเทศที่แตกต่างไป และเราก็จะได้เดินทางไปไฮแลนด์ช่วงกลางๆ ของประเทศได้เพราะช่วงหน้าหนาวเส้นทางไฮแลนด์จะปิด จะได้เจอต้นไม้ดอกไม้ที่ขึ้นแค่ช่วงหน้าร้อนสีสดใสที่เราไม่ได้มีโอกาสเห็นในหน้าหนาว
การขับรถในไอซ์แลนด์
ถนนหลักของไอซ์แลนด์คือถนนไฮเวย์หมายเลข 1 ซึ่งขับค่อนข้างง่ายจนเผลอมองวิวเพลินจนลืมคุมความเร็วเลยล่ะ การขับรถนอกเมืองนั้นเค้าจำกัดความเร็วที่ 90 กม./ชม. และตามทางก็จะมีกล้องตรวจจับความเร็วอยู่เป็นระยะๆ เครื่องนี้จะมีจอบอกเราจะสามารถเห็นความเร็วปัจจุบันจากบนหน้าจอเค้าเครื่องนี้ได้เลย อยู่ที่จะเบรคทันก่อนโดนถ่ายรูปหรือเปล่านะ ถ้าเห็นแสงแฟรชวาบขึ้นมาเมื่อไหร่นั้น นั่นแหละ! ก็แสดงว่าเราโดนถ่ายรูปแล้วอาจจะมีค่าตั๋วโผล่ในใบแจ้งยอดในบัตรเครดิตของเราในเดือนต่อไป ระบบนี้จะสามารถตัดจากบัตรเครดิตเราโดยตรงเลย ถึงแม้ว่าเราจะเช่ารถมา
พนักงานบริษัทรถเช่าซึ่งกำลังรอเราอยู่ที่โถงรอผู้โดยสารขาเข้าถึงแม้ว่าเที่ยวบินของเราจะดีเลย์ไป 2-3 ชั่วโมงได้ เนื่องจากสภาพอากาศ ออฟฟิสของบริษัทเช่ารถนี้อยู่ไม่ไกลจากสนามบินใน Reykjavik ซึ่งบริษัทจะมีรถชัตเทิลมารับ-ส่ง เราได้เช่ารถ 4×4 ในทริปนี้ราคาที่โอเคเลย แล้วก็เพิ่มพ๊อกเก็ต wifi แชร์สำหรับทุกคนในทริปได้ สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้ตลอดการเดินทาง หรือว่าถ้ามีอะไรด่วนขึ้นมาหรือว่าเราอาจจะอยากหาข้อมูลเกี่ยวกันโรงแรมหรือสถานที่จะไปซึ่งมีประโยชน์มาก ต้องระวังในการเปิดปิดประตูเวลาขึ้นหรือลงจากรถเพราะว่าลมที่นี่แรงมากๆ มันอาจจะพัดประตูจนพังได้แล้วความเสียหายนั้นอาจจะไม่ได้ครอบคลุมโดยประกันที่เราทำไว้กับบริษัทรถเช่า เราใช้เวลาพอสมควร กว่าเราจะรับรถมาต้องเดินเช็คแล้วเช็คอีกถามแล้วถามอีก เพื่อให้ชัวร์ว่าสภาพรถโอเคไม่มีอะไรเสียก่อนจะรับรถ เราอาจจะปรึกษากับบริษัทรถเช่าว่าจะต้องเช่าโซ่ล่ามล้อหรือไม่ แต่โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ได้ไปที่ที่สมบุกสมบันขับลุยหิมะมากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ การเติมน้ำมันสามารถเติมได้ในปั้มน้ำมันซึ่งเราจะเห็นได้เรื่อยๆ มีอยู่ตลอดเส้นทางเข้าเมืองแต่ละเมือง แต่ถ้าเส้นทางขับระหว่างเมืองก็จะหายากซักหน่อย ปั้มที่เราจะเห็นได้บ่อยๆ คือยี่ห้อ N1 กับ Olis สามารถซื้อการ์ดเติมเงินในการเติมน้ำมันที่ปั้ม N1 ได้นะ แต่ว่าใช้บัตรเครดิตของเราตอนจ่ายเงินที่เครื่องก็โอเคอยู่ หรือถ้าปั้มไหนเก่ามากๆ ก็เดินไปที่แคชเชียร์ เราว่าการ์ดเติมเงินก็ไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่
บางวันที่มีหิมะตกมากๆ เราสามารถเช็คสถาพถนนแบบ realtime ได้ที่เว็ปไซด์นี้ http://www.road.is ก่อนออกเดินทางนะ บางทีทางที่เราไปถนนอาจจะปิดเนื่องจากหิมะปกคลุมหนาๆ แต่ส่วนใหญ่ที่นี่เค้าจะรู้เร็วมากๆ เลยตอนเช้าก็จะมีรถไถหิมะมาไถๆ จนถนนเนี๊ยบเลยเชียว โซนที่มีหิมะตกจะเห็นรถไถนี้วิ่งตลอดเวลา
Supermarket
ร้านอาหารในไอซ์แลนด์นั้นราคาค่อนข้างสูงสำหรับใครที่อยากจะลองอาหารโลคอลของที่นี่ สำหรับบางมื้อที่เราต้องการจะประหยัดเราอาจจะเลือกที่จะทำอาหารเอง ใครไม่ชอบทำอาหารเองบ้างล่ะเวลามาต่างประเทศก็อยากจะกินอาหารที่มีรสชาติที่คุ้นเคยบ้าง เราชอบเดิน supermarket เวลามาต่างประเทศ ที่นี่ก็มีหลายๆ ยี่ห้อที่เราเข้าแล้วเห็นว่าราคาค่อนข้างโอเคและสมเหตุสมผลกว่าที่อื่นก็จะมี supermarket ชื่อ Bonus ที่มีโลโก้เป็นรูปกระปุกหมูออมสินที่จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าของเราได้ supermarket ที่นี่อาจจะมีเวลาเปิด-ปิดของของตัวเองเพราะฉะนั้นต้องดูดีดี เค้าไม่ได้เปิดตลอดเวลานะจ๊ะ แถวๆนอกเมืองอาจจะเปิดแค่เที่ยงถึง 6 โมงเย็นหรือปิดไวกว่านี้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงหน้าหนาว
Golden Circle
ถ้ามีเวลาเที่ยวไม่นาน เพื่อนๆสามารถวางแผนเที่ยวในบริเวณ Golden Circle เริ่มจาก Reykjavik มีบริษัททัวร์หลายๆ บริษัทที่เสนอการท่องเที่ยวโซนนี้ซึ่งครอบคลุมที่ๆ เป็นไฮไลท์ของที่นี่ไว้หมดแล้วให้เราได้ท่องเที่ยวแบบสบายๆ ได้ประสบการณ์การผจญภัยและได้ความประทับใจกลับไปได้เหมือนๆ กับการขับรถเองไปเที่ยวรอบเกาะเลย
Dyrhólaey cliffs
เป็นที่เที่ยวที่มีลักษณะเป็นเนินเขา แล้วมีผาริมทะเล ที่นี่อาจจะเรียกว่าเป็นคลิฟจัสติน บีเบอร์ไปแล้ว ทางขึ้นเขาของที่นี่ค่อนข้างชันเป็นทางรถ 2 เลนสวนกันเลี้ยวหักศอก ไม่มีแนวกัน ค่อนข้างหวาดเสียว การขับรถขึ้นต้องระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะรถที่ขับมาขาลง ส่วนคนนั่งก็ลุ้นไปเสียวๆ ขึ้นไปเห็นวิวสวยๆ ก็คุ้มค่าแล้วถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่หน้านกพัพฟิน ไกด์ท้องถิ่นแถวๆนั้นแนะนำว่า เดือนที่มีนกพัพฟินมากจะเป็นช่วงเมษา หน้านี้ไม่มี งั้นเราก็ดูนกทะเลไปก่อนซึ่งบินกันขวักไขว่ เยอะมากๆ อย่าลืมเดินลงไปดูวิวตรงประภาคาร จะได้เห็นวิวเขาสวยๆที่ทอดลงไปในทะเล
Reynisfjara basalt beach sand
แนวหินบะซอลต์มีลักษณะสีดำเป็นแท่งๆ ตั้งอยู่บนชายหาดสีดำ เป็นแบล๊คดรอปที่สวยงามแปลกตาของนักท่องเที่ยว แล้วยังมีถ้ำหินบะซอลค์ถ้าเราเดินไปตามชายหาดแบล๊คบีชนี้ไปทางซ้าย ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกไปนี้เลย มันแปลกตาจริงๆ ประกอบกับสสภาพแวดล้อมที่เวิ้งว้างอย่างกับอยู่ดาวอื่นแหน่ะ ระวังคลื่นเวลาเดินเล่นเลาะริมชายหาด อย่าคิดว่าคลื่นไม่แรงนะจ๊ะ มันอาจจะดูดขาเราลงทะเลไปก็ได้
ดินแดนแห่งน้ำตก
ไอซ์แลนด์มีน้ำตกที่สวยงามและน่าทึ่งหลายๆ ที่ แต่ละที่ความเป็นเอกลักษณ์ก็ต่างกันไป สวยงามในแบบที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ บางที่ก็อลังการและมีพลังมากๆ จนเรารู้สึกถึงพลังที่มันแผ่มา คิดว่าเราเองตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ แต่ละที่ก็สวยงามจนอยากจะนั่งมองอยู่อย่างนั้นทั้งวันถ้าไม่มีเวลาลิมิตและบังคับให้เราต้องไปต่อ มีหลายๆ ครั้งที่ทำให้เราคิดว่าอยากย้ายมาอยู่ที่นี่จังเลย อิจฉาคนที่นี่ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติสวยงามขนาดนี้ อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่นี่เค้าถึงหวงแหนรักษาที่เที่ยวเค้าไว้ดีจังเลย เราเลือกน้ำตกสวยๆ ที่เรายกเป็นน้ำตกสุดเจ๋งจากทริปของเราเองเก็บมาเล่าให้ฟัง แต่บางที่เราก็พลาดเนื่องจากสภาพอากาศก็ไม่ได้เป็นใจ บางที่ก็หาไม่เจอ บางที่ก็ถนนปิดไปไม่ได้ ครั้งหน้ามีโอกาสไปต้องไปให้ได้
- Öxarárfoss: น้ำตกนี้อยู่ในอุทยาน Thingvellir (Þingvellir) National Park เป็นที่แรกที่เราแวะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Reykjavik มีที่จอดรถกว้างขวางแล้วเราสามารถเดินจากที่จอดรถมาถึงน้ำตกได้ไม่ไกล ยังไม่ทันจะเหนื่อย เป็น trial ที่เดินง่ายมาก น้ำตกนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากหรือว่าสวยที่สุดกว่าที่อื่นๆ แต่มันก็เป็นบทนำที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวหลายๆคนที่เดินทางมาที่นี่ก่อน ในขณะที่อุทยานแห่งนี้มีประวัติศาสตร์มากมายให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา
- Brúarfoss: น้ำตกนี้ก็เป็นน้ำตกที่สุดที่สุดที่นึงเลย เราเดินทางแต่เช้าออกไปหาน้ำตกนี้ตาม google map แต่พิกัดดันไม่ตรง ดันพาเราไปย่านที่พักเหมือนเป็นโซนที่อยู่อาศัย หมู่บ้าน ฝนก็โปรยปรายกับอากาศหนาวๆ เราตัดสินใจเดินออกจากรถเดินตามเสียงน้ำตก มันพาเราไปหลังหมู่บ้านซึ่งเราไม่รู้เลยว่ามาถูกไหม น่าเสียดายจากการอ่านรีวิวต่างๆ นาๆในตอนนั้น ไม่ทำให้เราหาน้ำตกแห่งนี้เจอได้ มีนักท่องเที่ยวหลายๆ คนได้แนะนำทางไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ แนะนำให้หาข้อมูลและเผื่อเวลาไปเยอะๆ นะ เผื่อเวลาหา แล้วถ้าเจอจะได้อยู่ที่นี่นานๆ นึกถึงที่ไรก็เป็นปมอยู่ในใจทุกที เหมือนเจ้าน้ำตกนี้เรียกหาเราตลอดๆ ถ้ามีโอกาส จะกลับไปเยี่ยมเจ้าน้ำตกนี้อีกซักครั้งนึง
- Gullfoss: ที่นี่บอกเลยว่าพลาดไม่ได้เลย เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดเลยมั้งที่เราเคยเห็น อยู่ในบริเวณ golden circle ทัวร์ไหนๆก็ต้องมา ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็แทบจะปลิวแล้ว เพราะว่าความมีพลังของน้ำตก มันทำให้ลมบริเวณนั้นแรงเป็นพิเศษ มีเสื้อกันหนาวก็ขอใส่ให้หนาๆ กันน้ำกันลม ถุงมือ มีเท่าไหร่ใส่ไปเถอะ ยืนอยู่ใกล้ๆเราจะเห็นว่ามวลน้ำมหาศาสที่ไม่มีวันหมด ตกลงไปซู่ซ่าในรองแคนย่อน ข้างล่างนั้น มันมีพลังและสวยมากจริงๆ ไม่รับประกันว่า ขึ้นโดรนจะปลิวหายหรือเปล่า
- Seljalandsfoss: น้ำตกนี้หาง่ายมากตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทางริมถนน มองเห็นได้ในระยะไกลอยู่บนเทือกเขานึง อาจจะต้องใส่เสื้อกันฝนลงไปสำหรับน้ำตกอันนี้ซักหน่อย เพราะว่ากิมมิคของเค้าคือ มันมีทางเดินที่สามารถเดินอ้อมเข้าไปหลังม่านน้ำได้ แต่กว่าจะไปถึงนั้นก็อาจจะมีความกระเซ็นของละอองน้ำทำให้เราเปียกได้ บวกกับแรงลม เผื่อเวลาหน่อยนะ เพราะว่ามันมีอีกน้ำตกนึงที่สวยๆ อยู่ใกล้ๆ ข้างๆน้ำตกนี้ ที่เราจะต้องเดิน trek เข้าไปนิดหน่อยตามร่องเขาแคนยอนจะเจอกับเจ้าน้ำตกที่ว่าซ่อนอยู่ ชื่อน้ำตก Gljúfrafoss ปล.เราไม่ได้เข้าไปเพราะว่าใกล้มืดแล้ว
- Skógafoss: น้ำตกนี้ก็ถือว่าเป็นบัตรผ่านของนักเดินทางทั้งหลายที่มาไอซ์แลนด์นี้ เราไปถึงน้ำตกนี้ตอนเช้ามันเป็นเวลาที่ฝนตก จริงๆ จะบอกว่าตกทุกวันเลยก็ได้ ถ้าเรามาถูกเวลาหน่อยและอากาศเป็นใจเนี่ย อาจจะได้มาเห็นรุ้งกินน้ำที่นี่ แต่รู้งคงจะไม่มากันสายฝนหรอกนะ ถ้าแดดไม่มา ฮืออ แล้วถ้าเป็นนักเดินทางสายแคมป์ สายอดทนหน่อยมาที่น้ำตกนี้ตอนเวลากลางคืน ถ้าได้ช๊อตที่มีแสงเหนือบนน้ำตกก็คงจะวิเศษไม่เบา ข้างๆน้ำตกนี้มีทางเดินขึ้นไปด้วยนะ จะได้เห็นส่วนบนของน้ำตกใกล้ๆ อย่าลืมมองกลับมาด้านหน้าน้ำตกด้วยล่ะ มันเป็นวิวสวยอีกแบบ จะเห็นดินแดนเวิ้งว้าง มีสายน้ำที่ต่อจากน้ำตกนี้ไหลไป เป็นสาย เป็นริ้วๆ ตัดกับแผ่นดินที่เป็นสีน้ำตาลไหลลงทะเลไป
- Svartifoss: ไม่รู้จะพูดยังไงกับความสวยของน้ำตกที่นี่ก็ยังประทับใจกับความมีเอกลักษณ์มีคุ้มค่ากับการที่จะต้องเดิน trek ไปเป็นระยะทาง 1.8 กม. มันคือธรรมชาติที่สร้างสรรค์ออกแบบออกมาได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ น้ำตำนี้อยู่ในอุธยาน Vatnajökull National Park เดินๆเหมือนจะไกลเพราะเป็นทางเดินขึ้นเขา แต่ก็เดินไปได้เพลิน ชมธรรมชาติตามทางไปไม่ทันจะเหนื่อยก็ถึงแล้ว น้ำตกนี้เป็นคอลัมน์หอนบะซอล์สีดำๆ ดาร์กๆ ทำให้รู้สึกเหมือนแฝงไปด้วยเวทมนต์
- Litlanesfoss & Hengifoss: กว่าจะเจอน้ำตกฝาแฝดนี้ก็เหนื่อยใช้ได้นะเหมือนจะใกล้ก็ไม่ใกล้เพราะว่าต้องเดินขึ้นไปเจอกับความเวิ้งว้าง ช่วงที่เราไปหิมะตกก็หนักอยู่แต่มันหนักขึ้นๆ เรื่อยๆ เราไปไม่ถึงน้ำตกชั้นที่ 2 ไปถึงแค่ Litlanesfoss แล้วกลับเนื่องจากทางที่เดินไปนั้นขาวโผลนไปด้วยหิมะ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแต่ก็พอมีรอยเท้ามาก่อนหน้าเรา แต่ตอนนั้นหิมะลง เอาล่ะสิรอยเท้าหายไปตอนขากลับ คลำทางลงก็ลำบากอยู่ อาจจะกลิ้งตกเขาได้ เราตัดสินใจกลับไปที่รถ อันนี้ก็เป็นอีกน้ำตกที่ล้อมไปด้วยแท่งหินบะซอลท์ ดูมีมนต์ขลัง
- Goðafoss: เราเหนื่อยจากพายุหิมะอากาศขมุกขมัวกันมาหลายวัน อากาศทางเหนือของไอซ์แลนด์ค่อนข้างหนาว และแปรปรวนมาก มีหลายฤดูในหนึ่งวันแบบที่เค้าว่ากันแหละ แต่เราก็บอกตัวเองนะว่าไม่ว่าจะยังไงจะต้องไปตามแผนให้ได้ ถึงแม้ลมจะแรง มีพายุหนัก น้ำตกที่นี่เข้าถึงง่าย มีที่จอดรถใกล้ๆ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เราอยู่ถ่ายรูปที่นี่นานเลย ถึงแม้ว่าตอนนั้น ลมแรง หิมะตก หิมะอะไรตกเป็นแนวนอน! และลมแรงมาก เวลาเดินต้องทิ่มหัวไปก่อนเพราะแรงลมต้าน น้ำตกนี้ก็เป็นอีกอันที่สวยอีกแล้ว
- Hraunfossar & Barnafoss: น้ำตกสองอันนี้อยู่ใกล้ๆกัน เราเดินจากที่จอดรถมาตามแม่น้ำเรื่อยๆ เป็นทางเดินที่มีสะพานข้าม เดินสะดวก มีมุมถ่ายรูปนู้นนี้ มีที่นั่งพัก ทานอาหาร ห้องน้ำ เดินเพลินๆไปก็ถึงน้ำตก นี้ไม่สูงมาก แต่วิวกว้างในแนวยาวๆ น้ำสีฟ้าตัดกับหินภูเขาไฟดำๆ กับฟองน้ำตกขาวๆ ซึ่งน่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่เห็นได้จากน้ำตกที่นี่ ถ่ายรูปมาเหมือนติด contrast เยอะแล้ว ไม่ต้องปรับสีอะไรมาก แต่กล้องตัวไหนๆ คงจะสู้มองภาพจากสายตาเราไม่ได้หรอก สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น สวยจริงๆ

ซากเครื่องบิน Dc-3
ถ้าโชคดีเค้าอาจจะอนุญาตให้เค้าขับรถลงไปถึงซากเครื่องบินไม่อย่างนั้นเราจะต้องเดินจากถนนหลักเข้าไปขาเดียวประมาณ 3 กิโลเมตร ให้เผื่อเวลาเดินกลับด้วยนะใช้เวลาที่นี่เยอะอยู่เหมือนกัน เตรียมตัวให้พร้อมก่อนไป เพราะว่าที่นี่ไม่มีห้องน้ำนะจ๊ะ มันเป็นทางเดินยาวๆ รอบตัวเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ไม่มีอะไรเลย นอกจากวิวภูเขาไกลๆ ตัวเครื่องบินนั้นมองไม่เห็นจากถนนหลัก ต้องเดินไปซักพักคนประมาณครึ่งไมล์สุดท้าย ถึงจะเห็นซากเครื่องบินอยู่ในแอ่งทรายดำ ที่นี่กลายเป็นที่รู้จักเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว แต่คงไม่ได้อยู่ใน route ทัวร์หรอกนะ ด้วยความดาร์กๆ หลอนๆ ทำให้ถ่ายรูปซากเครื่องบินออกมาเท่ดีมาก

Ice Cave & Glacier hiking
ช่วงที่เราไป Black beach ฝนตกตลอดเวลาเลย เลยทำให้วันต่อมาเราไม่ได้ไปทัวร์ Ice cave ที่เราจองไว้ซึ่งเราตั้งใจว่าให้เป็นไฮไลท์ของทริปเลยนะ อยากไปมากๆ แต่หลังจากได้ยินข่าวจากทัวร์ที่จองไว้ยกเลิกได้แต่ช๊อคแล้วแพลนใหม่ เพราะว่าตอนนี้น้ำท่วมถ้ำน้ำแข็ง แต่เผื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอ่ะเนอะ นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ จะดีจะร้ายก็แล้วแต่เธอ แล้วคืนนั้น เราก็ทำการภาวนา ติดต่อหาบริษัททัวร์หลายบริษัทมากๆ เผื่อที่ไหนจะยังคงพาเราไปได้บ้าง ด้วยความเชื่อว่ามันต้องมีหลาย Ice Cave ที่นี่ และต้องมีซักที่นึงหล่ะที่ไปได้ ก็ถือว่าโชคดีที่มีบริษัทนึงตอบรับจะจัดทัวร์ให้เราหลังจากวันต่อมา บริษัทเดิมก็ยื่นข้อเสนอว่าเราสามารถซื้อทัวร์กราเซียร์ได้ สามารถเดิน hiking บนธารน้ำแข็งบริเวณใกล้ๆ Skaftafel ก็ตัดสินใจซื้อทัวร์นี้ไป เพราะแผนพังแล้วก็ว่าง เราไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะซื้อทัวร์อันนี้เป็นอะไรที่ไม่คาดคิดกลับได้ประสบการณ์ใหม่ที่ประทับใจมากกับการที่ได้ใส่อุปกรณ์ปีนธารน้ำแข็งลื่นๆ เราก็ต้องฝึกเดินหน่อยนึง ลื่นบ้างแต่ก็รอดมาได้ ไกด์ท้องถิ่นที่มาด้วยก็น่ารักมาก มาประกบ 2 คนแต่คนที่ว่าน่ารักเป็นคนไอซ์แลนด์นะ
ส่วน Ice Cave อยู่แถวๆ Vatnajokull กับบริษัท Local guide วันต่อมาก็ได้มีโอกาสได้ไปดีใจมาก บริษัทนี้เค้าเป็นบริษัทเก่าแก่ของที่นี่ ไกด์ก็น่ารักเป็นมิตรมากมีความรู้อธิบายตลอดทาง ถึงเนื้อถึงตัวไปถามอะไรก็ได้ เราแนะนำเลย แต่ถ้ำที่เราไปเนี่ยไม่ได้ใหญ่มาก อย่างที่คิดไว้เหมือนในรูป ไกด์บอกไว้ว่าเมื่อก่อนนี้ถ้ำที่เห็นใหญ่กว่านี้มา แต่ด้วยภาวะโลกร้อนมันก็เลยหดเข้าไป แล้วก็เล็กลงเรื่อยๆ กับกราเซียร์เช่นกัน เราเองชอบท่องเที่ยวธรรมชาติมากๆ แต่มันก็ทำให้เศร้าทุกครั้งเมื่อรู้ว่าธรรมชาติเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนนะ
Jökulsárlón Glacier Lagoon & Diamond beach
ผ่านกราเซียร์มาอยู่หลายอันแถวๆ นี้ถ้ามีเวลาคงจะได้แวะไปเชยชม กราเซียร์ที่ใหญ่มากๆ ที่เห็นคงจะเป็นที่นี่เป็นกราเซียร์ที่เชื่อมกับ lagoon แล้วก็มีก้อนน้ำแข็งที่ละลายแตกออกมาจากกราเซียร์ ลอยตุ๊บป่องไหลออกไปในทะเล Jökulsárlón เป็นที่ check point ที่สุดท้ายของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้เพราะเหมือนจะเป็นจุดสิ้นสุดของทัวร์ Golden circle วิวโดยรอบสวยมากๆ มันเจ๋งมากๆ เลย จริงๆแล้วสามารถล่องเรือที่นี่ได้นะ เพื่อไปดูธารน้ำแข็งใกล้ แต่วันนี้ลมแรง บริษัทเรือเลยปิดไม่มีกำหนดเลย อย่าลืมขับรถข้ามถนนอีกด้านเพื่อไปหาด diamond beach ไปเดินริมหาดสีดำแล้วมีก้อนหินมากมายที่มาจากกราเซียร์เมื่อตะกี้ เต็มชายหาด เค้าก็เลยเปรียบเหมือนเพชรบนหาดไง พอมันกระทบกับแสงแดดตอนพระอาทิตย์ตก ระยิบระยับ สวยมากทีเดียว
ไปดูปลาวาฬ
ตอนแรกภาพที่จินตนาการไว้คือจะได้เจอกับ hump back whale ตัวใหญ่กระโดดเล่นกับคลื่น ภาพในหัวเนี่ยมันเหมือนกับโฆษณาชวนเชื่อ เช่นเดียวกับภาพในเว็บที่เราจองทัวร์มาเนี่ยแหละ อยากจะเจอกับซีนนั้นเหลือเกินที่จะได้เจอปลาวาฬตัวใหญ่กระโดดใกล้ๆเรือ ยังไงก็ตามเราก็อุส่าห์ได้เจอเจ้าปลาวาฬเพชรฆาต Orca สองตัวว่ายเล่นล้อกันไปมา น่าจะเป็นคู่รัก แค่นี้เราก็รู้สึกประทับใจแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่เจ๋งมากอีกแล้ว นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เค้าก็ตื่นเต้นที่ได้เจอไม่ต่างกับเรา เรือก็พยายามตามไปดูมัน มันก็ว่ายเร็วเหลือเกิน ดีใจที่มันได้อยู่กับธรรมชาติที่สวยๆ ไม่ได้ถูกจับไปอยู่ในอควาเรียม คงจะมีความสุขสินะ
Kirkjufell mountain & Kirkjufellsfoss
ที่นี่ก็เป็นไฮไลท์ที่สุดๆๆ เลยมั้งของ Iceland แทบจะเป็น Iconic ของที่นี่ เราชอบ landscape ที่นี่มากๆๆๆ คือมันเป็นเอกลักษณ์นี่แหละ Iceland! น้ำตก Kirkjufellsfoss ของที่นี่ก็ช่างเกิดที่เหมาะเจาะซะจริง อยู่ในมุมนี้ที่จะต้องถ่ายรูปให้เห็นมุมหมวกแม่มด Kirkjufell พื้นดินที่อยู่ตรงหน้าน้ำตกมันก็เป็นแพทเทิร์น ริ้วๆ เป็นร่องน้ำ สีน้ำตาลของหญ้าแห้ง สีดำของหินลาวา สลับสีขาวของหิมะ ละน้ำใสๆ ไหลลงไปที่ทะเล ประทับใจอีกแล้วกับทุกๆ อย่างที่มันทำให้ที่นี่เป็นที่ที่สวยงามขนาดนี้ ขอบคุณที่ทุกอย่างพาให้เรามาที่นี่ ณ เวลานี้ เราเดินทางรอบ Iceland ring road มาจนถึง Reykjavik ไม่มีวันไหนที่ได้เจอแสงเหนือเลยจนวันนี้เราเห็นแสงเหนือเป็นริ้วๆ เต้นอยู่บนฟ้าวันนี้ความแรง KP6-7 เราดีใจแล้วก็โครตจะตื่นเต้นมาก ระหว่างการเดินทางนั้นกล้องเราพังจนเหลือกล้องของเพื่อนอยู่คนเดียว โชคดีจังเลย เพื่อนก็ถ่ายไปเราก็ยืนเต้นให้กำลังใจ ถ่ายไปเรื่อยๆ จนแสงละลายหายไป คุ้มแล้ว ดูรูปจากเพื่อนเราได้ เป็นรูปที่เจ๋งที่สุดในทริปนี้เลย แสงเหนือเต้นระบำเหนือภูเขา Kirkjufell mountain โดย @sicbo แล้วเราก็กลับที่พักซึ่งอยู่ตีนเขา Kirkjufell พอดี เป็น location ที่ดีมากๆ มี hot tub หน้าบ้านด้วยแช่ดูวิวภูเขา แต่เราเห็นรูปอยู่บ่อยๆ ว่านักท่องเที่ยวมักจะเจอแสงเหนือบ่อยๆ ที่นี่ เรารู้สึกว่าแสงเหนือมันวนๆๆ อยู่เหนือภูเขาไม่แน่ใจว่ามันมีหลักการณ์เหตุผลอะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ไหม เกี่ยวกับภูเขาแม่มดนี้
Blue Lagoon
วันสุดท้ายแล้วใน Iceland และแน่นอนถึงเวลาผ่อนคลายจากที่นั่งรถเครียดๆ กับสภาพอากาศเครียดๆ เราก็แวะมาแช่น้ำที่บลูลากูนก่อนจะกลับบ้านกัน เราจะต้องจองเวลาและซื้อตั๋วออนไลน์ก่อนจะมานะ ที่นี่เองไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติแต่ก็คงเป็นที่ๆ ใหญ่ที่สุดที่คนชอบมากัน เราสนุกกับการแช่น้ำสีฟ้าน้ำนมขุ่นที่มีประโยชน์กับผิว เพราะเค้าใส่โคลนซิลิก้า จิบไวน์ พอกหน้า นึกแล้วอยากไปแช่เลยอ่ะ อย่าลืมแวะไปดูรอบๆ นอกด้วยล่ะจะได้เห็นวิวกว้างๆ ของ blue lagoon ซึ่งข้างนอกโดยรอบมีทุ่งหญ้ามอสแปลกตาดี นอกจากที่นี่แล้วก็ยังมีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติอื่นๆ อีกหลายๆ ที่ถ้ามีโอกาสและมีเวลาก็น่าจะลองแวะไปดูนะ
No Comments